วันที่ 29 กรกฎาคม 2552
ความเป็นมา
ด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานฝ่ายฝึกอบรมศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกรมประมงได้ดำเนินโครงการ การจัดการความร่วมมือการจัดการประมงชายฝั่งด้านการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการการจัดการชุมชนประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืนโดยชุมชน ซึ่งโครงการฯ ได้ดำเนินกิจกรรมการวางซั้งเชือก จำนวน 10 ชุด ในบริเวณเกาะคราม เกาะพิทักษ์ บ้านทองครก หมู่ที่ 13 หมู่ที่ 14 ตำบลบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร โดยชาวประมงและคนในชุมชนมีความคิดเห็นว่า ถ้ามีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) เกิดขึ้นในชุมชน จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้และอาชีพให้กับคนในชุมชนได้อีกทางหนึ่ง และเนื่องด้วยชาวประมงมีความต้องการองค์ความรู้ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศดังกล่าว ดังนั้น จึงได้มีการจัดการฝึกอบรมหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้กับชาวประมงในพื้นที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร
วัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม
1.เพื่อส่งเสริมชาวประมงให้มีความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรประมงอย่างรับผิดชอบ
2.เพื่อสร้างเสริมทักษะให้กับชาวประมงในการประกอบอาชีพของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยใช้ทรัพยากรประมงอย่างรับผิดชอบ
3.เพื่อเป็นแนวทางเสริมในการประกอบอาชีพ และลดการลงแรงในการทำประมง
ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรม กลุ่มชาวประมงและชาวบ้านที่สนใจ จำนวน 30 ท่าน
ตารางกิจกรรม
ด้วยความร่วมมือระหว่างสำนักงานฝ่ายฝึกอบรมศูนย์พัฒนาการประมงแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกรมประมงได้ดำเนินโครงการ การจัดการความร่วมมือการจัดการประมงชายฝั่งด้านการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการการจัดการชุมชนประมงชายฝั่งอย่างยั่งยืนโดยชุมชน ซึ่งโครงการฯ ได้ดำเนินกิจกรรมการวางซั้งเชือก จำนวน 10 ชุด ในบริเวณเกาะคราม เกาะพิทักษ์ บ้านทองครก หมู่ที่ 13 หมู่ที่ 14 ตำบลบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร โดยชาวประมงและคนในชุมชนมีความคิดเห็นว่า ถ้ามีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism) เกิดขึ้นในชุมชน จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้และอาชีพให้กับคนในชุมชนได้อีกทางหนึ่ง และเนื่องด้วยชาวประมงมีความต้องการองค์ความรู้ในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อเป็นทางเลือกในการประกอบอาชีพการท่องเที่ยวเชิงนิเวศดังกล่าว ดังนั้น จึงได้มีการจัดการฝึกอบรมหลักสูตรด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้กับชาวประมงในพื้นที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร
วัตถุประสงค์ในการฝึกอบรม
1.เพื่อส่งเสริมชาวประมงให้มีความรู้ความเข้าใจในการอนุรักษ์และใช้ทรัพยากรประมงอย่างรับผิดชอบ
2.เพื่อสร้างเสริมทักษะให้กับชาวประมงในการประกอบอาชีพของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยใช้ทรัพยากรประมงอย่างรับผิดชอบ
3.เพื่อเป็นแนวทางเสริมในการประกอบอาชีพ และลดการลงแรงในการทำประมง
ผู้เข้าร่วมการฝึกอบรม กลุ่มชาวประมงและชาวบ้านที่สนใจ จำนวน 30 ท่าน
ตารางกิจกรรม
10.00 - 10.30 น. ลงทะเบียนและเปิดการประชุม
10.30 - 11.30 น. การจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดย นายอุทัย วรมาศกุล
11.30 - 12.00 น. ตอบข้อซักถาม
12.00 - 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.30 - 14.30 น. การใช้ทรัพยากรประมงอย่างรับผิดชอบ โดย นายทวีเกียรติ อมรปิยะกฤษฐ์
14.30 - 15.30 น. ตอบข้อซักถาม
11.30 - 12.00 น. ตอบข้อซักถาม
12.00 - 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
13.30 - 14.30 น. การใช้ทรัพยากรประมงอย่างรับผิดชอบ โดย นายทวีเกียรติ อมรปิยะกฤษฐ์
14.30 - 15.30 น. ตอบข้อซักถาม
รายงานผลการฝึกอบรม
1. เปิดการฝึกอบรม
โดย ดร.ภัทรียา สวนรัตนชัย หัวหน้าแผนกการจัดระบบการประมงของรัฐ กองการจัดการประมงชายฝั่ง ฝ่ายฝึกอบรม ศูนย์พัฒนาฯ เป็นผู้กล่าวเปิดการจัดการฝึกอบรมนี้ และเชิญ ผอ.อุทัย วรมาศกุล ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานจังหวัดชุมพร มาบรรยายในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หลังจากนั้นในช่วงบ่ายจะเป็นการบรรยายในเรื่อง การใช้ทรัพยากรประมงอย่างรับผิดชอบในบริเวณซั้งเชือก โดย ดร.ทวีเกียรติ อมรปิยะกฤษฐ์ หัวหน้าแผนกส่งเสริมทรัพยากรการประมง กองการจัดการประมงชายฝั่ง และจะมีการตอบข้อซักถามในตอนท้ายของการบรรยาย
1. เปิดการฝึกอบรม
โดย ดร.ภัทรียา สวนรัตนชัย หัวหน้าแผนกการจัดระบบการประมงของรัฐ กองการจัดการประมงชายฝั่ง ฝ่ายฝึกอบรม ศูนย์พัฒนาฯ เป็นผู้กล่าวเปิดการจัดการฝึกอบรมนี้ และเชิญ ผอ.อุทัย วรมาศกุล ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานจังหวัดชุมพร มาบรรยายในเรื่องการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หลังจากนั้นในช่วงบ่ายจะเป็นการบรรยายในเรื่อง การใช้ทรัพยากรประมงอย่างรับผิดชอบในบริเวณซั้งเชือก โดย ดร.ทวีเกียรติ อมรปิยะกฤษฐ์ หัวหน้าแผนกส่งเสริมทรัพยากรการประมง กองการจัดการประมงชายฝั่ง และจะมีการตอบข้อซักถามในตอนท้ายของการบรรยาย
2. การจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรประมงเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
โดย ผอ.อุทัย วรมาศกุล กล่าวถึงความเป็นมาของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และองค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ คือ ชุมชน แหล่งท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยว โดยชาวบ้านในชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดรูปแบบของการท่องเที่ยว
นอกจากนี้กล่าวถึงธนาคารปูในจังหวัดชุมพร ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งในการใช้ทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว ศึกษาดูงานและให้ความรู้ในส่วนนี้ได้ โดยจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ที่สำคัญ และในด้านของมัคคุเทศก์ควรมีการจัดฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ โดยส่วนนี้อาจจะขอรับเงินสนับสนุนจากภาครัฐได้
โดย ผอ.อุทัย วรมาศกุล กล่าวถึงความเป็นมาของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และองค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ คือ ชุมชน แหล่งท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยว โดยชาวบ้านในชุมชนต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดรูปแบบของการท่องเที่ยว
นอกจากนี้กล่าวถึงธนาคารปูในจังหวัดชุมพร ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งในการใช้ทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยว ศึกษาดูงานและให้ความรู้ในส่วนนี้ได้ โดยจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเรียนรู้ที่สำคัญ และในด้านของมัคคุเทศก์ควรมีการจัดฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ โดยส่วนนี้อาจจะขอรับเงินสนับสนุนจากภาครัฐได้
3. การใช้ทรัพยากรประมง อย่างรับผิดชอบในบริเวณซั้งเชือก
โดย ดร.ทวีเกียรติ อมรปิยะกฤษฐ์ โดยเริ่มจากวัตถุประสงค์ของซั้งเชือก หลังจากนั้นได้นำเสนอรูปภาพและวีดีโอตั้งแต่การทำซั้งเชือก จนกระทั่งนำซั้งเชือกออกไปวางในบริเวณชายฝั่ง รวมถึงปัญหาและข้อบกพร่องของซั้งเชือก และได้แนะนำให้ชาวประมงดัดแปลงซั้งเชือกโดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในชุมชน ซึ่งจะทำให้ราคาต้นทุนของซั้งเชือกต่ำลง และได้ยกตัวอย่างประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีการกำหนดโควต้าการตกปลาในบริเวณซั้ง คือ จำนวนเบ็ดใน 1 สาย ต้องอยู่ระหว่าง 10-12 ตัว และความถี่ในการไปตกปลาไม่เกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมืออวนในบริเวณซั้งเชือก และไม่ควรวางซั้งเชือกในพื้นที่ที่กีดขวางการเดินเรือหรือทำประมง ส่วนขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ เช่น พลาสติก แก้ว โลหะ ควรนำมากำจัดบนบก และควรมีการเพิ่มทุ่นเมื่อซั้งเชือกเกิดการจมตัว
4. การแสดงความคิดเห็นและตอบข้อซักถาม
หลังจบการบรรยายได้มีการซักถามและแสดงความคิดเห็นจากชาวบ้านต่อผลของการวางซั้งในพื้นที่ เกาะครามและเกาะพิทักษ์ ระยะเวลานาน 5 เดือน (จัดวางในวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2552) ซึ่งสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ทุ่นผิวน้ำ 6 ลูก มีขนาดเล็กเกินไป ไม่เพียงพอที่จะพยุงซั้งเชือกให้ลอยตัวอยู่ได้นาน เนื่องจากมีสิ่งเกาะติดจำนวนมาก
2. มีสัตว์น้ำเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น จำนวนชนิดหลากหลายมากขึ้น
3. ส่งเสริมอาชีพและรายได้ของชาวประมง
4. ชาวประมงมีโครงการที่จะเพิ่มเติมแนววางซั้งให้ไกลออกไปถึง 5,000 เมตร เพื่อเป็นแนวป้องกันการรุกล้ำเข้ามาของเรือประมงพาณิชย์ด้านนอก และจะให้ทางจังหวัดประกาศเป็นเขตเฉพาะ โดยชาวประมงจะรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างกลุ่มให้เข้มแข็งและช่วยกันปกป้องพื้นที่ชายฝั่ง
5.ชาวประมงมีแผนที่จะวางซั้งในแนวน้ำตื้นน้อยกว่า 5 เมตรด้วยเช่นกัน โดยดัดแปลงซั้งให้เหมาะสมกับความลึกของน้ำ เพื่อเพิ่มแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำใกล้ชายฝั่งมากขึ้น ทั้งนี้เบื้องต้นจะใช้เป็นแหล่งตกปลาสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ในบริเวณอ่าวทองครก และเกาะพิทักษ์
6.ชาวประมงมีความคิดเห็นพ้องกันว่าซั้งเชือกช่วยในการเพิ่มพูนทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทั้งผิวน้ำและหน้าดินได้เป็นอย่างดี ส่งเสริมความร่วมมือของชาวประมงในการทำงานร่วมกัน การปกป้องพื้นที่และเสริมรายได้ของชาวประมงนอกเหนือไปจากเครื่องมือประมงที่ใช้เป็นประจำ
7. มีหอยแมลงภู่ หอยมุกจาน และสิ่งเกาะติดอื่นๆ เกิดขึ้นบริเวณเนื้ออวนกระโปรงจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีน้ำหนักมากและอยู่ลึก ทำให้ไม่สามารถนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ หรือนำออกเพื่อลดน้ำหนักของซั้งได้
โดย ดร.ทวีเกียรติ อมรปิยะกฤษฐ์ โดยเริ่มจากวัตถุประสงค์ของซั้งเชือก หลังจากนั้นได้นำเสนอรูปภาพและวีดีโอตั้งแต่การทำซั้งเชือก จนกระทั่งนำซั้งเชือกออกไปวางในบริเวณชายฝั่ง รวมถึงปัญหาและข้อบกพร่องของซั้งเชือก และได้แนะนำให้ชาวประมงดัดแปลงซั้งเชือกโดยใช้วัสดุที่มีอยู่ในชุมชน ซึ่งจะทำให้ราคาต้นทุนของซั้งเชือกต่ำลง และได้ยกตัวอย่างประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีการกำหนดโควต้าการตกปลาในบริเวณซั้ง คือ จำนวนเบ็ดใน 1 สาย ต้องอยู่ระหว่าง 10-12 ตัว และความถี่ในการไปตกปลาไม่เกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมืออวนในบริเวณซั้งเชือก และไม่ควรวางซั้งเชือกในพื้นที่ที่กีดขวางการเดินเรือหรือทำประมง ส่วนขยะที่ย่อยสลายไม่ได้ เช่น พลาสติก แก้ว โลหะ ควรนำมากำจัดบนบก และควรมีการเพิ่มทุ่นเมื่อซั้งเชือกเกิดการจมตัว
4. การแสดงความคิดเห็นและตอบข้อซักถาม
หลังจบการบรรยายได้มีการซักถามและแสดงความคิดเห็นจากชาวบ้านต่อผลของการวางซั้งในพื้นที่ เกาะครามและเกาะพิทักษ์ ระยะเวลานาน 5 เดือน (จัดวางในวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2552) ซึ่งสรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ทุ่นผิวน้ำ 6 ลูก มีขนาดเล็กเกินไป ไม่เพียงพอที่จะพยุงซั้งเชือกให้ลอยตัวอยู่ได้นาน เนื่องจากมีสิ่งเกาะติดจำนวนมาก
2. มีสัตว์น้ำเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น จำนวนชนิดหลากหลายมากขึ้น
3. ส่งเสริมอาชีพและรายได้ของชาวประมง
4. ชาวประมงมีโครงการที่จะเพิ่มเติมแนววางซั้งให้ไกลออกไปถึง 5,000 เมตร เพื่อเป็นแนวป้องกันการรุกล้ำเข้ามาของเรือประมงพาณิชย์ด้านนอก และจะให้ทางจังหวัดประกาศเป็นเขตเฉพาะ โดยชาวประมงจะรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างกลุ่มให้เข้มแข็งและช่วยกันปกป้องพื้นที่ชายฝั่ง
5.ชาวประมงมีแผนที่จะวางซั้งในแนวน้ำตื้นน้อยกว่า 5 เมตรด้วยเช่นกัน โดยดัดแปลงซั้งให้เหมาะสมกับความลึกของน้ำ เพื่อเพิ่มแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำใกล้ชายฝั่งมากขึ้น ทั้งนี้เบื้องต้นจะใช้เป็นแหล่งตกปลาสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ ในบริเวณอ่าวทองครก และเกาะพิทักษ์
6.ชาวประมงมีความคิดเห็นพ้องกันว่าซั้งเชือกช่วยในการเพิ่มพูนทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งทั้งผิวน้ำและหน้าดินได้เป็นอย่างดี ส่งเสริมความร่วมมือของชาวประมงในการทำงานร่วมกัน การปกป้องพื้นที่และเสริมรายได้ของชาวประมงนอกเหนือไปจากเครื่องมือประมงที่ใช้เป็นประจำ
7. มีหอยแมลงภู่ หอยมุกจาน และสิ่งเกาะติดอื่นๆ เกิดขึ้นบริเวณเนื้ออวนกระโปรงจำนวนมาก แต่เนื่องจากมีน้ำหนักมากและอยู่ลึก ทำให้ไม่สามารถนำขึ้นมาใช้ประโยชน์ หรือนำออกเพื่อลดน้ำหนักของซั้งได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น